ลักษณะบทโขน

การแสดงโขน เมื่อเริ่มแสดงวงปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงเป็นเพลงเปิด เมื่อจบเพลงจึงจะเริ่มการแสดง ดำเนินเรื่องโดยใช้คำพากย์และคำเจรจาเป็นหลัก การเล่นโขนแต่เดิมไม่มีบทร้องของผู้แสดงเหมือนละครใน ผู้แสดงทุกคนในสมัยโบราณต้องสวมหัวโขน ยกเว้นตัวตลกที่ใช้ใบหน้าจริงในการแสดง ทำให้ต้องมีผู้ทำหน้าที่สำหรับพากย์และเจรจาถ้อยคำต่าง ๆ แทนตัวผู้แสดง ผู้พากย์เสียงนั้นมีความสำคัญในการแสดงโขนเป็นอย่างมาก ต้องเรียนรู้และศึกษาทำความเข้าใจเรื่องราวและวิธีการแสดง จดจำคำพากย์และใช้ปฏิภาณไหวพริบในเชิงกาพย์ กลอน เพื่อสามารถเจรจาให้สอดคล้องถูกต้อง มีสัมผัสนอก สัมผัสในคล้องจองกับการแสดงของผู้แสดง
ลักษณะบทโขนในสมัยโบราณ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
  1. บทร้อง
  2. บทพากย์
  3. บทเจรจา
ซึ่งบทร้องนั้นเป็นการร้องกลอนบทละคร ใช้สำหรับแสดงโขนโรงในและโขนฉากเท่านั้น บทพากย์ใช้กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง เมื่อพากย์จบหนึ่งบท ปี่พาทย์จะตีตะโพนท้าและตีกลองทัดต่อจากตะโพนสองที ผู้แสดงภายในโรงจะร้องรับว่า "เพ้ย" พร้อม ๆ กัน ซึ่งคำว่าเพ้ยนี่ สันนิษฐานว่าแต่เดิมนั้น มาจากคำว่า เฮ้ยในการบัญชาศึกสงครามของแม่ทัพนายกอง ค่อย ๆ เพี้ยนเสียงจนกลายเป็นคำว่าเพ้ยในปัจจุบัน สำหรับบทพากย์เป็นคำประพันธ์ชนิดกาพย์ฉบัง 16 หรือกาพย์ยานี 11 บท มีชื่อเรียกแตกต่างกัน วิธีพากย์บทโขนในการแสดง แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ดังนี้
การพากย์เมืองหรือพากย์พลับพลา  ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงตัวเอก หรือผู้แสดงออกท้องพระโรงหรือออกพลับพลา เช่น ทศกัณฐ์ พระรามหรือพระลักษมณ์เสด็จออกประทับในปราสาทหรือพลับพลา โดยมีตัวอย่างบทพากย์กาพย์ฉบัง 16 ตอนเช่น พระรามเสด็จออกพลับพลา รับการเข้าเฝ้าของพิเภก สุครีพ หนุมานและเหล่าเสนาลิง


"ครั้นรุ่งแสงสุริยโอภาพุ่งพ้นเวหา
คิรียอดยุคันธร

สมเด็จพระหริวงศ์ทรงศรฤทธิ์เลื่องลือขจร
สะท้อนทั้งไตรโลกา

เสด็จออกนั่งหน้าพลับพลาพร้อมด้วยเสนา
ศิโรตมก้มกราบกราน
พิเภกสุครีพหนุมานนอบน้อมทูลสาร
สดับคดีโดยถวิล"
— บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2


การพากย์รถหรือพากย์พาหนะ  ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงเอ่ยชมพาหนะและการจัดกระบวนทัพเช่น รถ ม้า ช้าง หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นพาหนะ หรือใช้พากย์เวลาผู้แสดงตัวเองทรงพาหนะตลอดจนชมไพร่พล โดยมีตัวอย่างบทพากย์กาพย์ฉบัง 16 เช่น พระราม พระลักษมณ์ ทรงราชรถออกทำศึกกับทศกัณฐ์และเหล่าเสนายักษ์


"เสด็จทรงรถเพชรเพชรพรายพรายแสงแสงฉาย
จำรูญจำรัสรัศมี

อำไพไพโรจน์รูจีสีหราชราชสีห์
ชักรชรถรถทรง

ดุมหันหันเวียนวงกึกก้องก้องดง
เสทือนทั้งไพรไพรวัน
ยักษาสารถีโลทันเหยียบยืนยืนยัน
ก่งศรจะแผลแผลงผลาญ"
— บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2

การพากย์โอ้หรือการพากย์รำพัน ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงมีอาการเศร้าโศกเสียใจ รำพันคร่ำครวญถึงคนรัก เริ่มทำนองตอนต้นเป็นการพากย์ ตอนท้ายเป็นทำนองการร้องเพลงโอ้ปี่ ซึ่งการพากย์ประเภทนี้จะให้ปี่พาทย์เป็นผู้รับเมื่อสิ้นสุดการพากย์หนึ่งบท มีความแตกต่างจากการพากย์ประเภทอื่นตรงที่มีเครื่องดนตรีรับ ก่อนที่ลูกคู่จะร้องรับว่าเพ้ย โดยมีตัวอย่างบทพากย์ยานี 11 เช่น พระรามโศกเศร้ารำพันถึงนางสีดา ที่เป็นนางเบญจกายแปลงมาตามคำสั่งทศกัณฐ์ เพื่อให้พระรามเข้าใจว่านางสีดาตาย


"อนิจจาเจ้าเพื่อนไร้มาบรรลัยอยู่เอองค์
พี่จะได้สิ่งใดปองพระศพน้องในหิมวา

จะเชิญศพพระเยาวเรศเข้ายังนิเวศน์อยุธยา
ทั้งพระญาติวงศาจะพิโรธพิไรเรียม

ว่าพี่พามาเสียชนม์ในกมลให้ตรมเกรียม
จะเกลี่ยทรายขึ้นทำเทียมต่างแท่นทิพบรรทม
จะอุ้มองค์ขึ้นต่างโกศเอาพระโอษฐ์มาระงม
ต่างเสียงพระสนมอันร่ำร้องประจำเวร"
— บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
การพากย์ชมดง  ใช้สำหรับพากย์เวลาผู้แสดงชมสภาพภูมิประเทศ ป่าเขา ลำเนาไพรและสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เริ่มทำนองตอนต้นเป็นทำนองร้องเพลงชมดงใน ตอนท้ายเป็นทำนองการพากย์ธรรมดา โดยมีตัวอย่างบทพากย์ฉบัง 16 เช่น พระราม พระลักษมณ์และนางสีดา เอ่ยชมสภาพป่าที่มีความสวยงาม หลังจากออกจากเมืองเพื่อบวชเป็นฤษีในป่า


"เค้าโมงจับโมงมองเมียงคู่เค้าโมงเคียง
เคียงคู่อยู่ปลายไม้โมง

ลางลิงลิงเหนี่ยวลดาโยงค่อยยุดฉุดโชลง
โลดไล่ในกลางลางลิง

ชิงชังนกชิงกันสิงรังใครใครชิง
ชิงกันจับต้นชิงชัน
นกยูงจับพยูงยืนยันแผ่หางเหียนหัน
หันเหยีบเลียบไต่ไม้พยูง"
— บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
การพากย์บรรยาย  ใช้สำหรับพากย์เวลาบรรยายความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นบริบทการขยายความเป็นมาเป็นไปของสิ่งของนั้น ๆ หรือใช้สำหรับพากย์รำพึงรำพันใด ๆ โดยมีตัวอย่างบทพากย์ฉบัง 16 เช่น การพากย์บรรยายตำนานรัตนธนู คันศรที่พระวิศวกรรมสร้างถวายพระนารายณ์ตอนอวตารมาเป็นพระราม


"เดิมทีธนูรัตนวรฤทธิเกรียงไกร
องค์วิศวะกรรมไซร้ประดิษฐะสองถวาย

คันหนึ่งพระวิษณุสุรราชะนารายณ์
คันหนึ่งนำทูลถวายศิวะเทวะเทวัน

ครั้นเมื่อมุนีทัก-ษะประชาบดีนั้น
กอบกิจจะการยัญ-ญะพลีสุเทวา
ไม่เชิญมหาเทพธ ก็แสนจะโกรธา
กุมแสงธนูคลาณ พิธีพลีกรณ์"
— บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
การพากย์เบ็ดเตล็ด  ใช้สำหรับพากย์ใช้ในโอกาสทั่ว ๆ ไปในการแสดง เป็นการพากย์เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จัดอยู่ในการพากย์ประเภทใด รวมทั้งการเอ่ยกล่าวถึงใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหนหรือพูดกับใคร โดยมีตัวอย่างบทพากย์ฉบัง 16 เช่น พระรามสั่งให้หนุมาน องคตและชมพูพาน ไปสืบเรื่องของนางสีดาที่ถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวไป และมอบธำมงค์และภูษาไปให้เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจของนางสีดาเมื่อได้เห็นสิ่งของดังกล่าว


"ภูวกวักเรียกหนุมานมาตรัสสั่งกิจจา
ให้แจ้งประจักษ์ใจจง

แล้วถอดจักรรัตน์ธำมรงค์กับผ้าร้อยองค์
ยุพินทรให้นำไป

ผิวนางยังแหนงน้ำใจจงแนะความใน
มิถิลราชพารา
อันปรากฏจริงใจมาเมื่อตาต่อตา
ประจวบบนบัญชรไชย"
— บทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 2
สำหรับบทเจรจานั้น แตกต่างจากบทร้องและบทพากย์ตรงที่เป็นบทกวีแบบร่ายยาว มีการส่งและรับคำสัมผัสอย่างต่อเนื่อง ใช้ถ้อยคำสละสลวย คล้องจอง มีสัมผัสนอกสัมผัสใน บทเจรจาในการแสดงโขนเป็นบทที่คิดขึ้นในขณะแสดง เป็นความสามารถและไหวพริบปฏิภาณเฉพาะตัวของผู้เจรจา ปัจจุบันบทเจรจามีการแต่งเตรียมไว้แล้ว ผู้พากย์บทเจรจาจะว่าตามบทให้เกิดอารมณ์คล้อยตามถ้อยคำ โดยใช้น้ำเสียงในการเจรจาให้เหมาะกับตัวโขน ใส่ความรู้สึกให้เหมาะกับอารมณ์ของตัวละครในเรื่องเช่น เจรจาเสียงเทวดาก็ต้องปรับน้ำเสียงให้นุ่ม สุภาพ เจรจาเสียงยักษ์ก็ต้องปรับเสียงให้ดัง ดุร้ายและแกร่งกร้าว เจรจาตัวนางก็ต้องปรับเสียงให้นุ่ม อ่อนหวาน เป็นต้น
การพากย์บทเจรจาใช้ผู้ชายเป็นผู้ให้เสียงไม่ต่ำกว่าสองคน เพื่อทำหน้าที่ทั้งพากย์และเจรจา บางครั้งมีการเหน็บแนมเสียดสีโต้ตอบระหว่างกัน ถ้าในการแสดงโขนมีบทร้อง ผู้พากย์และเจรจาจะต้องทำหน้าที่บอกบทให้แก่ผู้แสดงอีกด้วย เวลาแสดงผู้พากย์และเจรจาจะยืนประจำจุดต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้เช่น โขงกลางแปลง จะยืนอยู่ใกล้กับจุดของตัวแสดง แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือมนุษย์และยักษ์ โขนนั่งราวและโขนหน้าจอ จะยืนอยู่บริเวณริมฉากประตูซ้ายและขวาข้างละหนึ่งคน โขนโรงในจะนั่งเรียงติดกับคนร้องข้างละ 2 คน 
อ่านเพิ่มเติม...